วิทยากรเล่าว่าได้สืบค้นภูมิปัญญาพื้นบ้านมาหลายสิบปี และเนื่องจากเกิดในครอบครัวแผนโบราณ มีบิดาเป็นหมอ เติบโตมากับสมุนไพรรวมทั้งเทคนิคต่าง ๆ ในการเยียวยา ถูกฝึกให้ใช้เท้าเหยียบเหล็กแดงตั้งแต่อายุ 7 ปี เพราะน้ำหนักกำลังดี บิดาจะใช้วิธีการสอนโดย learning by doing (เรียนรู้โดยการปฏิบัติเอง) บางครั้งมีคนไข้ที่มีปัญหาทางจิตใจจะรู้สึกว่าตัวเองปวดเมื่อยเพราะโดนคุณ ไสย ลมเพลมพัดใช้ยารักษาไม่หาย พ่อจะสอนให้เสกไข่ ลักษณะคือเอาไข่ไก่ไปแช่ในน้ำส้มสายชูให้เปลือกนิ่มแล้วแกะเปลือกออก จากนั้นเอาเส้นผมบ้างเอาตะปูบ้างมาใส่ไว้ แล้วเอาเปลือกไข่ปิดไว้อย่างเดิม พอแห้งจะดูไม่ออก คนไข้โรคจิตเหล่านี้จะให้เขาเอาไข่มาเอง เวลารักษาก็ให้หลับตาภาวนา พ่อจะเปลี่ยนไข่โดยจะดูสภาวะจิตว่าคนนี้เข้าใจว่าโดนคุณไสยจากตะปู ปวดแสบปวดร้อนก็จะเลือกไข่ที่มีตะปู
บางคนต้องเลือกไข่จากเส้นผม พ่อจะเอาไข่มาคลึงทั่วร่างกาย แล้วก็แอบเปลี่ยนไข่ พอตอกออกมาไข่มีตะปู อาการของคนไข้ก็จะหายไป อันนี้ไม่ใช่เรื่องหลอกลวง คนที่ป่วยด้วยสภาวะจิตอย่างนี้ก็ต้องใช้วิธีนี้ มีประโยชน์สำหรับคนบางคน แต่มีบางคนเอามาใช้ผิดประเภท เลยกลายเป็นการต้มตุ๋นหลอกลวงไป ให้คิดว่าระหว่างหลอกกับจริงอะไรมีประโยชน์อะไรมีโทษ ในวัยเด็กตนเองมีอาการเจ็บนิ้วมากโดยไม่ทราบสาเหตุ พ่อให้ไปเอาน้ำครำ (น้ำข้าวตกตะกอน) ดำปี๋ เอามาทาอาการเจ็บปวดหายไป ตอนทากลัวมากเพราะกลัวเชื้อโรค แต่ปรากฏว่าหาย จึงเชื่อว่าทุกอย่างเป็นยาได้หมดอยู่ที่ว่าจะหยิบใช้อย่างไร
1. รูปกายเราผิดปกติจากกรรมที่เรากระทำ จำแนกเป็นกรรมในอดีตและกรรมปัจจุบันซึ่งส่งผลให้คนเจ็บป่วย
2. การเจ็บป่วยเพราะสภาวะจิต บางคนถูกกดดันจากสภาวจิตภายนอก ถูกกดดันให้เป็นคนหวาดกลัว เก็บกดความคิด จากความกดดันภายในของตนเอง เช่น อาการทางจิตบางอย่าง
3. คนป่วยรูปกายที่ผิดปกติเกิดจากเหตุ มีอุตุภายในกับอุตุภายนอก (อุตุ หมายถึง อุณหภูมิหรือหมายถึงฤดูกาล) อุตุภายใน เช่น การนวด กดจุด อบไอน้ำ หมักโคลน ดัดตน รำกระบอง การใช้แหวน การใช้สีเหล่านี้เป็นการปรับอุตุภายใน อุตุภายนอกสังเกตจากดินฟ้าอากาศ ตามตำรามีเรื่องฤดูกาลซึ่งปัจจุบันวัดโดยฤดูกาลไม่ได้ ต้องดูภาวะอากาศเป็นเหตุ เช่น อากาศชื้นให้ระวังเรื่องกระเพาะอาหาร ม้าม น้ำเหลือง กล้ามเนื้อ ไขมันเรื่องความอ้วน อากาศแห้งให้ระวังปอด ลำไส้ใหญ่ อากาศร้อนให้ระวังหัวใจ ลำไส้เล็ก หลอดเลือด (คอเลสเตอรอล) อากาศเย็น ระวังไต กระเพาะปัสสาวะ ระบบเพศ ระบบต่อมไร้ท่อ หากภาวะลมแรงระวังเรื่องตับ ถุงน้ำดี ไมเกรน เส้นเอ็น เป็นต้น
4. การเจ็บป่วยเพราะอาหารการกิน ทางอภิธรรม มี 4 ประเภท 1) อาหารที่เข้าทางปาก (กพฬิงการาหาร) 2) อาหารทางผิว (ผัสสาหาร) เช่น การพอกทา ร่างกายดูดซึมเข้าไปได้ 3) มโนสัญเจตนาหาร เป็นอาหารทางความคิด จากจิตใจ รู้จักใช้พลังจิตมาใช้ในตัวได้ บางครั้งอดอาหารแต่ร่างกายยังแข็งแรงอยู่ 4) วิญญาณาหาร อาหารที่เกิดจากความรักความผูกพัน ความรักระหว่างพ่อกับแม่เอาลูกมาอยู่ในอ้อมกอดนั่งร้องไห้ทั้งคืนรุ่งเช้า ลูกหายป่วยได้ พลังความรักระหว่างสามีกับภรรยาที่รักกันจริง ครูกับศิษย์ที่ผูกพันกันจริง การใช้การสวดมนต์ เพลงกล่อมลูก เป็นต้น
1. สมุนไพรที่เป็นอาหาร ชาวบ้านกินเล่นอยู่แล้ว เป็นงานภูมิพื้นบ้านโดยไม่ต้องอาศัยงานวิจัยรองรับ เช่น กะทิ (บ้านเรายังมีอคติต่อกะทิอยู่คิดว่ากินแล้วอันตราย) ระดับชาวบ้านใครจะมีทุนทำวิจัย แต่ภูมิปัญญาชาวบ้านยิ่งกว่างานวิจัย บางสิ่งบางอย่างเอาชีวิตเข้าแลกถึงได้มาหลายชั่วคนแล้ว สมุนไพรที่เป็นอาหารหลายตัวมีฐานะฟื้นฟูร่างกาย บางอย่างก็ใช้รักษาโรคได้จริง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น